ทำไมต้องมาราธอน ?

Posted by in Life & Journey, Running

เมื่อวานไปวิ่งงาน Kaoyai Trail Marathon 2015 มาได้คุยๆ กับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน เลยได้มาย้อนคิดว่า ทำไมถึงมาวิ่ง? ทำไมเราถึงวิ่งเยอะขึ้นกว่าเดิม? ทำไมเราถึงต้องมาทรมานตัวเอง? ทำไมต้องมาราธอน?

ช่วงแรกที่เริ่มวิ่ง วิ่งเพราะเพื่อนที่ทำงานมาด้วยกันรู้สึกถึงความอ้วน และสุขภาพที่ย่ำแย่ของทุกคน เลยเริ่มไปวิ่งที่สวนลุมฯ ด้วยกันเพราะใกล้ออฟฟิส จำได้ว่าช่วงแรกเราวิ่งแค่ 100-200m ก็จะตายแล้ว ตอนนั้นกัดฟันวิ่งให้ครบรอบได้แทบตาย วิ่งด้วยความเร็วที่พอๆ กับการเดิน เราวิ่งแบบนี้อยู่ได้สักปีกว่าๆ ก็รู้สึกแข็งแรงขึ้นมาบ้าง และแล้วเพื่อนคนนึงที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็บาดเจ็บเลยหยุดวิ่งไป ตอนนั้นแต่ละคนก็เลิกไปสวนลุมกัน ส่วนเราเป็นช่วงที่เที่ยวติดๆ กันหลายทริปมากก็เลิกวิ่งไปเหมือนกัน

จากนั้นก็แทบจะไม่ได้วิ่งเลยไปเกือบปี จนช่วงหลังเราพยายามกลับมาวิ่งเองคนเดียวอีกครั้ง เพราะเราดันพบว่าตัวเองมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย เป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ และไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ตอนนั้นเครียดค่ะ มันเหมือนเป็นแรงกระตุ้นให้เราอยากรักษาสุขภาพมากขึ้น เหมือนที่เค้าบอกว่า ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา เราเลยพยายามเริ่มกลับมาวิ่งอีกครั้ง วิ่งคนเดียวก็ต้องวิ่ง ถึงจะช้าๆ ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร ช่วงนี้เราได้ค้นพบว่าการวิ่งทำให้เราหายเครียดจากทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แล้วก็เป็นโมเม้นที่เราสมองปลอดโปร่ง ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่านและได้มีเวลาอยู่กับตัวเองจริงๆ

northface100

จุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดนึงก็มาถึง ญาติมาชวนลงงานวิ่งที่เขาใหญ่ มันคืองาน Northface100 2014 ค่ะ ตอนลงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าวิ่งบนถนนปกติด้วยซ้ำ แต่ถ้าวิ่งที่เขาใหญ่คิดว่าคงอากาศดี ตอนนั้นญาติ กับพี่สาว แล้วก็เราก็วิ่งเป็นครั้งแรกเหมือนกันหมด คิดแต่ว่า ถ้าวิ่งไม่ไหว เดิน 10k ก็คงไหวแหละ เราซ้อมวิ่งจริงจังเดือนนึงเพื่องานนี้ พอไปถึงงานจริง ได้วิ่งทางป่าทางเขา มันสนุกดี ถึงจะวิ่งได้ช้ามากแต่ก็สนุกจริงๆ โมเม้นที่เข้าเส้นชัยได้เอาชนะตัวเองได้มันรู้สึกดีมากๆ เล่นเอาติดใจเลยค่ะ

running-1

หลังจากนั้น เราก็เริ่มวิ่งที่ระยะ 8-10k เป็นประจำที่สวนลุม ซึ่งการซ้อมวิ่งในระยะนี้ ทำให้ไม่มีใครอยากมาวิ่งกับเราค่ะ ทุกคนในออฟฟิสบอกว่า เราบ้าที่วิ่งไกลขนาดนั้น โชคดีที่มีเพื่อนๆ สมัยที่เล่นบาสด้วยกัน หันมาเริ่มวิ่งด้วยเลยช่วยกันบิ้วกันมาตลอด หลังจากนั้นเราก็ลงงานวิ่งมากมายในระยะ 10k จนเราอัพระยะเป็น 21k ที่งาน BkkMarathon2014 เมื่อปีก่อนทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีเวลาซ้อมอะไร

ถามว่าทุกครั้งที่วิ่งแล้วปวดตัวมั้ย ปวดขามั้ย ทรมานมั้ย ก็ใช่ค่ะ แต่เราชอบโมเม้นที่เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ โมเม้นที่เราได้อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง โมเม้นที่เรารู้สึกว่าเรามีเป้าหมายแล้วเราไปถึง อีกอย่างคือ ทุกครั้งที่เราปวดกล้ามเนื้อ ก็รู้สึกว่าเรากำลังจะแข็งแรงขึ้นไปด้วยค่ะ

ช่วงหลังๆ มานี่เราเปลี่ยนเวลามาวิ่งเช้าแทนวิ่งเย็นแล้วค่ะได้ พบโมเม้นใหม่ที่ชอบกว่าเดิมคือ บรรยากาศตอนเช้าที่ปกติคนตื่นสายแบบเราไม่เคยเจอ มันสวยงามจริงๆ

moringBKK
เราพึ่งได้ดูหนัง รัก 7 ปี ดี 7 หน เมื่อสัปดาห์ก่อนค่ะ เค้าว่ากันว่าเป็นหนังที่สร้างกระแสการวิ่งขึ้นมา กับคำพูดเด็ดที่ว่า “ถ้าคุณอยากวิ่ง คุณวิ่งกิโลเดียวก็พอ เเต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณค่อยมาวิ่งมาราธอน” ส่วนตัวเราว่า มันใช่ค่ะ เราพบด้านใหม่ของชีวิตจากการที่เริ่มวิ่งโดยเป้าหมายคือ มาราธอน มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างระหว่างการวิ่งเฉยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ มาก เราเชื่อว่า การค้นพบอะไรใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำอะไรแบบเดิมๆ

ถ้าอยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไง เราแนะนำให้ลงงานวิ่งสักงาน แล้วลองซ้อมจริงจังก่อนงานนั้นสักเดือน ไม่ต้องวิ่งทุกวันหรอกค่ะ แค่สัปดาห์ละ 3 ครั้งก็พอ แล้วจะเข้าใจว่า มันมีเสน่ห์ยังไง