ITALIAdaSola – ep.0 ก่อน ออก ตัว
เราพึ่งจะเคยเที่ยวคนเดียวครั้งแรกแบบไม่นับทริปเช้าไปเย็นกลับ ไม่นับตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS นะคะ ใครที่งง คือ เราเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS สมัยเรียนอยู่ ม.ปลายค่ะ ไปอิตาลีนี่แหละ เลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราเลือกที่นี่ในการเปิดทางสู่ยุโรปอีกครั้ง เพราะคุ้นเคย ทั้งภาษาและวัฒนธรรม ใครที่ติดตามเราอยู่ จะรู้ว่าเราใส่ #ITALIAdaSola ในทริปนี้อยู่ตลอดค่ะ
กว่าจะตัดสินใจไปคนเดียวได้
เราพร้อมจะไปอิตาลีตั้งแต่กลางๆ ปี 2013 แล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปสักที เพราะเราไม่กล้าตัดสินใจไปคนเดียว เราพยายามถามๆ หาคนไปด้วยแต่ก็หาไม่ได้ คือ เราก็อยากได้คนพร้อม อยากไป และเป็นคู่หูในการเดินทางได้ค่ะ ปกติเราไปกับพี่สาวแต่พี่สาวเราเค้าก็ไม่อยากไปยุโรปแล้ว เพราะเค้าเคยไปมาแล้ว เอาไงดี ระหว่างนั้นก็คิดล่ะว่าสงสัยคงต้องไปคนเดียว เราถึงขั้นเขียนแผนเอาไว้คร่าวๆ ใน Facebook Note – แผนเที่ยวอิตาลี แบบ ไปคนเดียว แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่อยากไปคนเดียวเท่าไหร่ ความมั่นใจไม่มี สุดท้ายเราเริ่มจะรำคาญ เพราะไปได้ แต่ไม่ได้ไปสักที เลยตัดสินใจว่า เอาวะ คนเดียวก็คนเดียว เคยอยู่มาตั้งปีนึง (เมื่อ 12 ปีก่อน) ภาษาก็พอจะพูดได้อยู่ จะไปกลัวอะไร เราเลยตัดสินใจตอนกลางปีก่อนว่า ไม่มีใครไปด้วย ฉันก็จะไปคนเดียว ตั้งใจว่าจะไปช่วงเมษาเพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี เราชอบฤดูนี้ค่ะ มันดูสดชื่นดี
แล้วจะไปกี่วันดี
เราตั้งใจไปช่วงสงกรานต์อยู่แล้ว พอดีกับปีนี้ (2015) เราไปได้ถึง 15 วัน โดยลางานแค่ 6 วันเอง คือ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน ถึง 19 เมษายน แลดูดี เพราะถ้าไปยุโรปสั้นๆ ก็ไม่ค่อยคุ้มค่าตั๋วเครื่องบินเท่าไหร่ เอาช่วงนี้แหละ ต้องหาตั๋วล่ะ ระหว่างรอเราก็หาข้อมูลเรื่องการขอวีซ่าไปพลาง สรุปว่า ขอได้ก่อนไม่เกิน 3 เดือน ก่อนเดินทาง งั้นกว่าจะยื่นขอวีซ่าได้ก็เดือนมกรา 2015 เราเลยปักหมุดในใจไว้ว่า ปลายปีนะ ค่อยมาคิดกันอีกที แล้วตอนปลายปีเราก็เขียนแผนคร่าวๆ อีกรอบใน Facebook Note – แผนอิตาลีใต้
หาตั๋ว หาตั๋ว หาตั๋ว
เราเคยมองหาตั๋วตั้งแต่กลางปี 2014 แต่มันเร็วไปค่ะ ยังมีไม่กี่สายการบินที่สามารถจองได้ล่วงหน้าถึง 10 เดือน บวกกับช่วงเวลาการทำวีซ่าตาที่บอกไป พอถึงเดือนพฤศจิกา หรือธันวาคม เราก็พยายามมองหาอีกรอบ แต่ช่วงนั้นคนไทยเที่ยวกันเยอะ โปรไหนมาก็ซื้อไม่ค่อยทันตลอด ฮือ ฮือ ฮือ จนช่วงวันปีใหม่วางจัด เลยลองๆ ไป search ดู เฮ้ย ตั๋วจาก โฮจิมินห์ -มิลาน, มิลาน-กรุงเทพ ราคา 20,000 บาท ราคานี้รับได้ แถมเป็นช่วงที่เริ่มทำวีซ่าได้แล้ว เลยจัดตั๋วไปค่ะ แล้วเราก็หาตั๋วกรุงเทพ-โฮจิมินห์ ต่อ หาได้ที่ราคา 2000 บาท สรุปว่า เราได้ตั๋วไปกลับที่ 22000 บาท ไม่ได้ถูกมาก แต่เอาเหอะ
ขอวีซ่าต้องใช้อะไรบ้าง
การขอวีซ่าเชงเก้น ควรขอกับประเทศที่เราเข้าประเทศแรก หรือ ประเทศที่เราอยู่นานที่สุดค่ะ ในกรณีเรายังไงก็ขอของอิตาลี ส่วนเอกสารสามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บ VFSGlobal ที่เป็นตัวแทนรับยื่นเอกสารวีซ่าได้ค่ะ เราแนะนำให้เข้าไปอ่านในเว็บเค้าก่อน แล้วมาอ่าน memo ที่เราจะเขียนตรงนี้ ก็จะเคลียร์ขึ้นมากค่ะ (เฉพาะการขอวีซ่าท่องเที่ยวเท่านั้นนะคะ)
- โหลดใบเช็คลิส แล้วเตรียมเอกสารให้ครบตามลิส >> http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/pdf/tourist_checklist_141002.pdf ส่วนตัวอย่างให้ลองหาเอาในเน็ตเอาก็ได้ค่ะ
- เอกสารที่ต้องส่งตัวจริงคือ ใบรับรองฐานะทางการเงินของธนาคาร (ไม่ใช่ statement) ต้องเป็นภาษาอังกฤษ, ใบรับรองจากบริษัทต้องเป็นภาษาอังกฤษ(กรณีพนักงานบริษัท มีการเขียนระบุวันลา และรับรองว่าจะกลับมาทำงาน)
- เอกสารสำเนา ไม่จำเป็นต้องเซ็นรับรองก็ได้ (ก็เซ็นแค่ใบสำคัญๆ ก็พอเผื่อกันเอาไปใช้อย่างอื่น)
- ทะเบียนบ้านภาษาอังกฤษ ให้ทำอีกใบที่หน้าตาเหมือนกัน แต่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องมีตราประทับรับรองจากกงศุล (สามารถแปลเองได้) ให้ยื่นแนบไปสองใบ ฉบับภาษาไทย กับฉบับภาษาอังกฤษ (ตัวอย่างแบบภาษาอังกฤษที่เรายื่น)
- ไม่จำเป็นต้องจองเวลาเข้าไปยื่นเอกสาร แต่ไปเช้าๆ แทน ซึ่งควรไปเช้ามากๆ เพราะพอสายแล้ว รอนานมากกกกกกก
- Booking ทุกคืน จำเป็นต้องมีชื่อคนที่ขอวีซ่า ว่าเป็นผู้เข้าพักในโรงแรมค่ะ (ของเราไปคนเดียวเลยสบาย ถ้าเป็นกลุ่มก็ต้องมีชื่อของทุกคน) เราปริ้นใบจาก booking.com ก็ใช้ได้เลยค่ะ
- ประกันท่องเที่ยว ต้องมีใบเสร็จด้วย ก่อนซื้อให้เช็คลิสบริษัทที่สถานฑูตรับรองก่อน (เราทำของ MSIG ส่งมาให้คู่เลย)
- สำเนาพาสปอร์ต ถ่ายหน้าที่มีหน้าเรา สองฉบับก็พอ ยกเว้นเคยได้วีซ่า USA, UK, Schengen มาก่อนก็ถ่ายหน้านั้นให้ด้วย (ไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งเล่ม)
- แผนการเดินทาง เขียนคร่าวๆ ก็โอเค เน้นว่า อยู่เมืองไหน พักที่ไหน เดินทางอย่างไร
- statement จะส่งตัวจริง หรือสำเนาก็ได้ ถ้าขอภาษาอังกฤษไม่ได้ จะเป็นภาษาไทยก็ได้ (ME by tmb ออกภาษาอังกฤษให้ไม่ได้) สามารถส่งตัวจริงได้เลย กรณีที่ไม่เอาไปใช้ทำอย่างอื่นอีก
- ถ้าไปนอนบ้านเพื่อนต้องมีจดหมายเชิญค่ะ ก็ส่งให้เพื่อนเขียนให้ (โหลดได้จากในเอกสารเช็คลิสค่ะ)
- วันยื่น เอาเอกสารจริงไปให้ครบเผื่อถูกเรียกดู
- อย่าลืมเตรียมเงินค่าทำวีซ่าติดไปค่ะ ต้องจ่ายสดเท่านั้น
การขอวีซ่า ใช้เวลาราวๆ 3-5 วันก็รู้ผลแล้ว แต่ถ้าช่วง High season อาจจะใช้เวลานานกว่านั้น แต่ยังไงก็จะไม่เกิน 15 วันค่ะ (ของเราเสร็จใน 7 วัน)
จองโรงแรมที่พัก
จองโรงแรม ถ้าเราจองแต่เนิ่นๆ จะราคาถูกกว่าค่ะ เราจองทั้งหมดผ่าน booking.com เพราะจะได้ไม่ต้องงงว่า อันนี้ของเว็บไหนกันแน่ โดยที่ booking.com สามารถแอดใบจองลง Passbook (สำหรับ IOS เท่านั้น) ได้ด้วย สะดวกสำหรับเรามากค่ะ ห้องพักมีหลายแบบแต่เราไปคนเดียวเลยเน้นนอน Dorm หรือ ห้องเดี่ยวค่ะ เราจองแต่ที่ที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือรถบัส แล้วก็แบบที่สามารถ cancel ได้ เพราะเผื่อเรามีเหตุอะไรต้องเปลี่ยนแผนอีก จะได้ยืดหยุ่นได้ง่าย หรือเจอโรงแรมที่ถูกกว่าจะได้เปลี่ยนได้ทันที แต่ถ้าแน่ใจแล้ว ก็จองแบบ cancel ไม่ได้ก็จะถูกไปอีก ระหว่างจองโรงแรม เราก็ต้องวางแผนว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง ที่ละกี่คืนดี ตรงนี้จริงๆ เรากะมั่วๆ เอา 555 ตามหลักของเราแล้ว เที่ยวเมืองละวันไม่เกิน 2 วันเป็นพอค่ะ (สายชะโงกทัวร์)
การเดินทางในอิตาลี
เราเดินทางในประเทศอิตาลี ตั้งแต่เหนือจดใต้ค่ะทริปนี้ ใช้ทุกอย่างทั้งเครื่องบิน รถไฟ และรถบัส โดยที่แผนเที่ยวของเราคือ เราลงใต้ไปเยี่ยมแฟมมิลี่ก่อน เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงอีสเตอร์ น้องสาวเรากลับบ้านพอดี แผนเราเขียนสั้นๆ จะประมาณนี้ค่ะ
Milan — บินไป –> Catania ….. >เยี่ยมแฟมมิลี่ที่ Caltanissetta 1 สัปดาห์ /// Caltanissetta — รถบัส –> Catania —> Siracusa (พัก 1 คืน) — รถบัส –> Catania (พัก 1 คืน) — บินไป –> Pisa —นั่งรถไฟ –> Florence (พัก 2 คืน) —นั่งรถไฟ–> Venice (พัก 1 คืน) —นั่งรถไฟ–>Milan –นั่งรถไฟ–>สนามบิน Malpensa
ถ้าอ่านรู้เรื่องจะพบว่า
- เรามีบิน 2 ไฟล์ท ในประเทศ คือ Milan-Catania (สายการบิน EasyJet) และ Catania-Pisa (สายการบิน Alitalia)
- นั่งรถบัส 3 เที่ยว คือ Caltanissetta-Catania, Catania-Siracusa, Siracusa-Catania (ขามาจาก Catania-Caltanissetta แฟมมิลี่มารับ)
- นั่งรถไฟ 4 เที่ยว คือ Pisa-Florence, Florence-Venice (กับ Italo), Venice-Milan และมีรถไฟไปสนามบินอีกเที่ยวคือ Milan Centrale – Malpensa
ทุกเที่ยวเราจองจากเมืองไทยไปหมดค่ะ ยกเว้นตั๋วรถบัส ที่ซื้อหน้างาน และตั๋วรถไฟ Pisa-Florence ที่เป็นรถไฟ Local ไม่สามารถจองได้ก่อน 7 วัน เลยไปซื้อหน้างานเหมือนกัน เหตุผลที่จองตั๋วรถไฟก่อน เพราะจะได้ราคาถูกกว่ามากค่ะ แถมตั๋วที่จองผ่านเน็ตไปไม่ต้อง stamp กับเครื่องก่อนขึ้นรถไฟด้วย (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไป)
เราหาตารางเดินรถบัส และรถไฟ เซฟติดตัวไปด้วยค่ะ เฉพาะเที่ยวที่ยังไม่ได้จอง เอาไว้ดูตอนจะซื้อจะได้สะดวก
การนั่งรถไฟในอิตาลี
หัวข้อนี้ขอเป็นการให้ความรู้เล็กน้อยค่ะ รถไฟทางเหนือของอิตาลี มีหลายแบบมาก ทั้งรถไฟ Local ที่ไม่สามารถจองได้ก่อนล่วงหน้านานๆ และ รถไฟปกติที่จองผ่านหน้าเว็บ trenitalia ได้ การจองก็ไม่ยากคิดว่าสามารถทำได้ โดยรถไฟปกติก็จะมีอีกหลายประเภทอีก ไม่ต้องสนใจมากค่ะ เราสนใจเวลาที่รถไฟวิ่งก็พอว่าใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วเป็น direct หรือต้องต่อรถคันอื่นหรือไม่ ใครๆ ก็คงเลือกที่มันไม่ต้องต่อรถไฟ และใช้เวลาสั้นสุด กับราคาที่ดีที่สุดแน่นอนค่ะ
สำหรับตั๋วรถไฟ Local สามารถซื้อหน้างานได้ โดยตั๋วจะเป็นตั๋ว Open ใช้ได้วันไหนก็ได้ เที่ยวไหนก็ได้ ใน 2 เดือน (จะมีเขียนระบุไว้ในตั๋ว) โดยก่อนจะขึ้นขบวนรถไฟ จำเป็นต้อง Stamp ตั๋วก่อนเสมอ (ถ้าขึ้นโดยไม่ Stamp อาจจะมีโดนปรับได้ค่ะ ตอนตรวจตั๋ว) ถ้า Stamp แล้ว ตั๋วนั้นก็จะเท่ากับถูกใช้ไปแล้ว อันนี้เราว่าสะดวกมากค่ะ เพราะเราซื้อเตรียมไว้ก่อน ถ้าพลาดคันนี้ก็ไปคันหน้า สบายย
เช็คสภาพอากาศแล้วจัดของ
รอบนี้สำหรับเราเราจัดของลำบากพอสมควรค่ะ เพราะอากาศไม่รู้ว่าจะหนาวหรือจะร้อนดี เช็คๆ ก็อยู่ที่ราวๆ 10 องศา จะเอาเสื้อหนาวขนเป็ดไปก็กลัวจะไม่ได้ใช้ กลัวฝนตกอีกแต่ก็ไม่รู้จะตกมั้ย จะเอาแจ็คเก็ตกันฝนไป ก็กลัวจะไม่ได้ใช้ การใช้เป้แบ็คแพ็คแล้วเอาของไปเยอะเกินไม่ใช่เรื่องดีค่ะ แต่เราก็เอาไปทั้งคู่เลยนะ 555 เผื่อไว้ก่อน เพราะดูพยากรณ์ล่วงหน้าแล้ว สัปดาห์ที่เราจะไปเหมือนอากาศจะหนาวขึ้นมา ส่วนเรื่องฝนนอกจากแจ็คเก็ตแล้ว เราก็ติดร่มพับไปด้วยค่ะ ดีกว่าต้องไปซื้อแพงๆ ที่โน่นล่ะ ส่วนของที่เหลือก็จัดไปอย่างละนิดละหน่อย สบู่ครีม ก็กะไปซื้อเอา ไม่พกไปเยอะ เอาของส่วนตัวไปแทน ถึงอย่างงี้เป้เราก็หนักตั้ง 8 กิโลแนะ
ทำแผน City-map
มาถึงด่านสุดท้ายของการเตรียมตัวแล้วค่ะ คือการวางแผนว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนในแต่ละเมืองบ้าง (เป็นการคิดละเอียดลงไปอีก) แล้วเราจะเดินทางระหว่างที่แต่ละที่อย่างไร เดิน หรือ รถเมล์ จุดนี้เราได้เปรียบเล็กน้อย เพราะอ่านอิตาลีได้บ้าง หลายๆ เว็บที่เราไปหาข้อมูล เว็บภาษาอังกฤษกับอิตาลี ให้ข้อมูลไม่ค่อยตรงกันค่ะ เว็บหลักๆ ที่เราหาว่าจะไปเที่ยวไหนบ้าง ก็ง่ายๆ ค่ะ Tripadvisor ที่เดียว อ่านรีวิว ดูรูปเอา แล้วก็จดๆ ชื่อเอาไว้ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บของสถานที่นั้นๆ เลย เพราะจะได้ข้อมูลที่ตรงที่สุด อัพเดทที่สุด
ข้อมูลอะไรที่เราหาเพิ่มเติมบ้าง
- ชื่อสถานที่ (Place)
- เวลาเปิด-ปิด (Opening time) ต้องเช็คให้ดีกว่า วันที่เราไปเค้าเปิดหรือไม่ ส่วนใหญ่ในอิตาลีจะเปิดราวๆ 9 โมง และพิพิธภัณฑ์มักปิดวันจันทร์
- ค่าเข้า (Fee) – เช็คให้ครบทุกจุด บางโบสถ์ใหญ่ๆ จะต้องเสียค่าเข้าหลายจุด จดมาให้ครบ พร้อมทั้งเวลาเปิด-ปิดด้วย
- ตำแหน่งบนแผนที่ (Location)
- การเดินทาง (ถ้ามี) (Transportation) – Google map ช่วยได้ดีมาก มีรายละเอียดให้ในหลายๆ เมืองใหญ่โดยเฉพาะทางเหนือ ส่วนทางใต้ต้องใช้พลังในการ Search กับภาษาอิตาลีกันหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้
หลังจากที่เราได้ข้อมูลทั้งหมดของแต่ละเมืองแล้ว เราก็ต้องวางแผนว่า เราจะไปที่ไหนก่อน-หลัง คาดการณ์ว่าเราควรจะอยู่ที่นี่ประมาณกี่นาที เพื่อให้สามารถไปได้ครบทุกที่ที่คิดอยากจะไป ซึ่งตรงนี้สำคัญมากถ้าเรามีเวลาที่จำกัด การไปถึงแล้วต้องรอมันจะเสียเวลา เสียโอกาส (แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราเดินโหดมากค่ะ)
เราใช้เวลาทำ City-map ของทุกเมือง อยู่ราวๆ 3 วันค่ะ (วันละ 6 ชม.) ซึ่งมีข้อมูลการเดินทางทุกอย่าง เซฟเป็นภาพใส่ไว้ในมือถือ เอาไว้ดู offline ได้
App ที่ใช้ในการเดินทาง
City Maps 2Go Pro » Offline Map and Travel Guide by Ulmon GmbH ตัวโปรตัวนี้ไม่ฟรี แต่ว่าปล่อยให้โหลดฟรีบ่อยอยู่ค่ะ โปรแกรมนี้ให้เราดาวโหลดแผนที่ไว้ดู offline ได้ มีสถานที่ให้ track location แบบ offline ได้ สามารถปักหมุดของเราเองได้ มีข้อมูลสถานที่ให้ (ต้องต่อเน็ต) ซึ่งดีมาก เราใช้มาตั้งแต่ไปจีนแล้วค่ะ ติดใจมาก
box.net เป็นบริการแบบ dropbox ค่ะ คือ Dropbox เราเต็ม เลยเปลี่ยนมาเป็นตัวนี้ แล้วมันสามารถเซฟไฟล์เอาไว้ดู offline ได้ด้วย
Booking Now by booking.com เป็นบริการจองโรงแรมด่วน คือจองแล้วพักคืนนั้นเลย booking.com ค่ะ ถ้าบ้านเราใครเคยใช้ ก็จะเหมือน Hotelquickly ค่ะ มีประโยชน์เวลาฉุกเฉินมากค่ะ
Infotreno free by Mattia Caron เป็นแอปที่ให้ข้อมูลรถไฟในอิตาลีค่ะ บอกละเอียดว่ามีผ่านสถานีไหนบ้างตอนกี่โมง ดีทีเดียว
เราเตรียมอะไรเยอะจัง 555 ด้วยความที่ไปคนเดียว เราเลยคิดว่ายิ่งเรามีข้อมูลในมือมากเรายิ่งลดความเสี่ยงค่ะ เราเลยทำแผนไปค่อนข้างละเอียด แต่ถึงเห็นอย่างงี้เราก็มีปรับแผนตลอด ทุกวันก่อนนอนเราต้องทวนแผนของวันพรุ่งนี้ใหม่ เพื่อจะได้ไม่ลืมและมั่นใจในการเดินทาง มีการวางแผน A B C เอาไว้ เผื่อตัวเองไม่ไหว อะไรสำคัญมากสำคัญน้อยเรียงลำดับให้ชัดเจน แค่นี้ก็เที่ยวสบายๆ แล้วค่ะ
โพสหน้าจะมาเริ่มเรื่องราวการเดินทางรอบนี้กันค่ะ
รบกวนสอบถามหน่อยค่ะ ไม่ทราบว่า หลักฐานทางการเงินที่ขอ me by tmb ใช่อันที่เราโหลดมาแล้วปริ๊นเองได้เลยรึป่าวคะ
ต้องไปขอที่ศูนย์ Me เอาค่ะ เค้าจะปริ้นให้เราจากหน้าเว็บเหมือนเราปริ้นเอง แต่เค้าจะปั๊มตราให้เราด้วยค่ะ เค้าจะให้เราเขียนใบคำร้อง ต้องใช้เวลาขอสัก 2-3 วันนะคะ ให้เผื่อเวลาไว้เลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ