วิ่งแนวหลัง @ ไบกอน วิ่งไล่ยุง
สวัสดีค่ะ ห่างหายไปสักพัก ใครที่เคยเจอเราคงรู้ว่าเพราะเรานิ้วมือข้างขวาหักไป 2 นิ้ว ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางใช้งานไม่ได้ ทำให้พิมพ์ไม่สะดวกมากๆ มีหลายเรื่องอยากเขียน แต่ก็ต้องอดใจไว้เพราะ พิมพ์ด้วยนิ้ว 8 นิ้ว มันไม่ถนัดจริงๆ ค่ะ แม้แต่ตอนนี้ เราก็ยังไม่ค่อยปกติ ให้พิมพ์นานๆ เยอะๆ ก็ต้องพักเหมือนกันไว้จะมาเล่าว่าเป็นยังไงทีหลัง
วันเสาร์ที่ผ่านมาเราไปวิ่งงาน ไบกอน วิ่งไล่ยุง มาค่ะ พอดีว่าน้องที่รู้จักกันเค้าซื้อตั๋วไว้แต่ไม่ว่าง เลยมาชวนเราไปแทน งานนี้เลยได้วิ่งฟรีไม่เสียสักแดง ขอบคุณน้องเค้าไปหลายรอบแล้ว แต่ก็อยากขอบคุณอีกสักรอบค่ะ 55 งานนี้เราเห็นมานานแล้วแต่ตั้งใจว่าจะไม่มา เพราะทางวิ่งดูท่าทางจะฝุ่นเยอะ
งานวิ่งไบกอนจัดมาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ยังจัดอยู่ที่เดิมเวลาเดิมที่ เริ่มต้นที่ Airport Link มักกะสัน มีระยะวิ่ง 3km 5km และ 13km โดยเริ่มวิ่งตอน 18:00 น. ซึ่งกล้ามากจัดเวลานี้ งานนี้ดีตรงที่รายได้ทั้งหมด บริจาคให้กับกาชาดไทย ได้บุญมากๆ เส้นทางวิ่งของ 13 km จะวิ่งจากสถานีมักกะสัน ไปตาม ถ.เพชรบุรี เลี้ยวเข้าเส้นประดิษฐ์มนูธรรม แล้วเลี้ยวกลับมาวิ่งเส้นใต้ทางด่วนศรีรัตน์ กลับมาสถานีมักกะสันอีกรอบ เค้าบอกว่าระยะ 13 km แต่วัดจริงๆ ได้ราวๆ 11.5 km ค่ะ (จากนาฬิกาของเพื่อนที่ไปด้วยกัน) เราใช้ Nike+ วัดกับมือถือเอาค่ะ GPS เด้งไปมา เลยได้เกินๆ มา 12km เหอๆ
งานนี้เราไม่ฟิตเท่าไหร่ค่ะ ช่วงก่อนหน้านี้ที่นิ้วหัก เราหยุดวิ่งไปเลยเกือบเดือน กลับมาซ้อมวิ่งแค่ 4 km เราก็เหนื่อยแล้ว ก่อนหน้างานนี้เราซ้อมวิ่งไป 1 ครั้งได้ไกลสุดแค่ 8 km แบบที่เดินไปครึ่งนึง ก็หมดสภาพแล้ว บอกตามตรงว่าตอนที่ตอบตกลงมาวิ่ง 13 km เราก็แอบกังวล และคิดหนักพอสมควรค่ะ
งานนี้ได้เจออะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเจอ เรียกว่า เปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ เป็นงานที่มีอะไรมาให้เล่าเยอะเลย
นักวิ่งต้องมีวินัย ตรงต่อเวลา
เดิมเค้าซื้อกันมาเป็นกลุ่ม ส่วนเราก็มาแทนน้องคนนึงในกลุ่มนั้น แต่เป็นเพื่อนๆ กันหมดค่ะ แต่เราไม่ได้มาสายนะ เราไปถึงก่อนเวลาปล่อยตัว 30 นาที เพื่อนเราต่างหากที่มาสายแถมยังไม่ได้เอาบัตรไปอีก เราเลยต้องยืนรอเพื่อนเพื่อเอาบัตร เสื้อ เบอร์วิ่งให้ ซึ่งกว่าเพื่อนจะมาเค้าก็ปล่อยตัวกันไป 15 นาทีแล้วค่ะ เราออกตัวคนสุดท้าย และท้ายสุดเลยมั้ง
อย่างที่บอกว่าเราไม่ฟิตค่ะ เราตั้งใจจะวิ่งช้าๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าอารมณ์นี้ เราควรออกตัวพร้อมคนอื่นจะได้เกาะกลุ่มกันไป เส้นทางเราก็ไม่คุ้นเคยมาก การวิ่งกับคนกลุ่มใหญ่จะสบายกว่ามากๆ ค่ะ แต่พอเราต้องออกรั้งท้าย ทีนี้ทำไงดี ทางก็ไม่คุ้นแค่พอจำแผนที่ได้นิดๆ เพื่อนมันก็ไม่รู้ทางเลย ข้างหน้าเราไม่มีนักวิ่งสักคน ทีนี้เราก็ต้องสับค่ะ วิ่งให้ทันแถวหลังให้ได้!!
จะยอมแพ้ หรือจะไปต่อ
หลังจากที่เราเร่งสปีดจนเจอคนใส่เสื้อวิ่งไบกอนแล้ว ซึ่งดีใจมากตอนนั้น ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจจะวิ่งเร็วเลย กิโลสองกิโลแรกเราก็เริ่มจะถอดใจแล้วค่ะ ในใจได้แต่คิดว่า “โอ้ยยย 13 โล ไม่ไหวแน่ๆ” แล้วตอนนั้นก็ถึงทางแยกระหว่างเส้นทาง 5 km กับ 13 km ค่ะ เราคุยกับเพื่อนว่า เอาไงดี เราไม่มั่นใจว่า 13 km จะไหวมั้ย งานนี้เค้าดูไม่ซีเรียส เพราะไม่มีรางวัลอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนไปวิ่งเส้น 5 km ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ลึกๆ เราก็แอบเสียดายที่ติดเบอร์วิ่งของ 13 km เอาไว้ที่ตัวแล้ว จะถอดใจจริงเหรอ? แถมเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยวิ่งถึง 13 km ด้วยค่ะ ตอนนั้นใจเราเอนไปทาง 5 km แล้วแหละ จนเพื่อนบอกว่า “เฮ้ย 5 km วิ่งเองอยู่ประจำ 13 โลดิ ไหนๆ ก็มาแล้ว” เราก็ “เออ จริงแฮะ” จากนั้นก็ไปทาง 13 km แบบไม่ต้องถามกันอีกรอบค่ะ ตัดสินใจกันง่ายๆ ไหวไม่ไหว เดี๋ยวอีก ชม. กว่าๆ เราก็รู้คำตอบเองค่ะ
จุดเสี่ยงตาย สะพานข้ามแยก
พึ่งเคยวิ่งรั้งท้าย และเป็นนักวิ่งแนวหลัง คือเราไม่เคยออกตัวสาย แล้วก็ไม่ได้วิ่งช้าขนาดที่ออกตัวพร้อมคนอื่นแล้วจะตกไปอยู่แนวหลัง แต่ก็ไม่เคยอยู่แนวหน้านะ 555 การเป็นนักวิ่งแนวหลังชีวิตอยู่ในความเสี่ยงมากค่ะ เริ่มจากพอเราแยกมาเส้นสำหรับ 13 km ที่แรกคือสะพานข้ามแยกของรถ ซึ่งมันไม่มีฟุตบาทค่ะ และเค้าเลิกปิดเลนส์ให้แล้ว T^T เราต้องเดินอยู่บนขอบปูนแคบๆ ขนาดกว้างราวๆ 1 ฝ่าเท้านิดๆ ที่ต้องอาศัยการทรงตัวในการเดิน และมีรถเล็กรถใหญ่วิ่งอยู่ข้างๆ เราห่างไม่ถึง 2 ฟุต ตอนนั้นรู้สึกลัวมาก คิดแต่ว่า “ห้ามล้มๆๆๆ” เพราะถ้าเผลอเซแล้วล้ม โดนรถเหยียบแน่ๆ สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย
ทางวิ่งลูกเมียน้อย ของนักวิ่งแนวหลัง
หลังจากเสี่ยงตายกับสะพานมา ทางหลังจากนั้นเราต้องวิ่งบนฟุตบาทเอาค่ะ เพราะเค้าไม่กั้นถนนให้แล้ว เศร้ามาก ฟุตบาทกรุงเทพ ก็เรียบราวกับโลกพระจันทร์ เกือบข้อเท้าพลิกไปก็หลายครั้ง เกือบโดนมอไซค์ชนตอนข้ามซอยก็หลายรอบ แต่ก็ยังวิ่งได้อยู่ ช่วงนี้คืออยู่บนถนนเพชรบุรีแล้วค่ะ เราต้องวิ่งบนฟุตบาทตลอดเส้นนี้ วิ่งไปจนถึงสะพานขึ้น ถ. ประดิษฐ์มนูธรรม อีกอย่างที่เป็นอุปสรรคคือ พอผ่านร้านรถเข็นทีไร ก็อยากจะหยุดกินก๋วยเตี๋ยวมันซะตรงนั้น เป็นนักวิ่งต้องอดทนต่อสิ่งเร้าค่ะ อ่าาาา หอมจัง
อยากฝึกวิ่ง Trail กรุงเทพจัดให้ได้
เราวิ่งผ่าน ถ. ประดิษฐ์มนูธรรม แล้วก็เลี้ยวกลับเข้ามาเส้นใต้ทางด่วนค่ะ มุ่งหน้ากลับ Airport Link มักกะสัน เรามาได้ครึ่งทางแล้ว เย้! ตอนนี้เรากับเพื่อนแซงคนมาได้กลุ่มนึงแล้ว แต่ยังอยู่กลุ่มแนวหลังที่ไม่ท้ายสุด หลายๆ คนที่ไม่ไหวก็เดินกันแล้ว ส่วนเรายังเดินๆ สลับวิ่งอยู่ ช่วงถนนใต้ทางด่วน เราก็ยังต้องวิ่งเบียดรถ และวิ่งบนขอบทางบ้าง ฟุตบาทบ้าง ซึ่งทางแย่มากบอกตามตรงว่า รู้สึกผิดที่ไม่ได้ใส่รองเท้าวิ่ง Trail มา เพราะทางมันน้องๆ วิ่ง Trail เลยทีเดียว เจอตอม้อสะพานที ก็จะเป็นเนินเล็กๆ ที ทางก็ไม่ได้เรียบเป็นดินทรายบ้าง มีเศษปูนแตกๆ บ้างตลอดทาง เป็นทาง ที่ดูไม่เป็นทางจริงๆ ช่วงนี้เราเดินมากกว่าวิ่งค่ะ แถมทางแถวนี้เปลี่ยวมากๆ ถ้ามาคนเดียวอาจจะได้วิ่งตลอดทางแทน 5555
กลับสู่จุดเริ่มต้น
หลังจากผ่านความลำบากกับทางวิ่งที่ไม่ธรรมดา สุดท้าย เราต้องวิ่งบนสะพาน(ของรถ) ค่ะ เพื่อข้ามถนนรัชดาอีกที ตอนนี้เราวิ่งมาถึงจุดที่เค้ายังมีคนกั้นเลนส์ให้ประมาณ ครึ่ง-หนึ่งเลนส์ แล้วค่ะ ถึงแม้จะวิ่งไหล่ทาง แต่ก็ไม่รู้สึกอันตรายมาก ทางก็เรียบๆ ไม่มีอะไรมากค่ะ พอลงสะพาน เราก็เลี้ยวเข้าสถานีมักกะสันจากทางด้านข้าง แล้วก็วิ่งจนเข้าเส้นชัย ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 40 นาทีได้ ช้ากว่าที่เราคิดไว้ 10 นาทีค่ะ เล่นเดินไปซะเยอะ
ตอนเราเข้าเส้น คอนเสิร์ตก็เริ่มมาได้สักพักแล้วล่ะ (คอนเสิร์ต Jet’set’ter กับ แกงส้ม) ของกินก็เริ่มจะหมด เรามาไม่ทันน้ำเกลือแร่ และข้าวต้มค่ะ แอบเสียใจ งานนี้เราว่า เค้าจัดกิจกรรมดี ของกินโอเค งานรวมๆ ดีหมด ยกเว้นทางวิ่งค่ะ เป็นงานที่เรามาวิ่งแล้วรู้สึกไม่มีความปลอดภัย 555 แต่เราถามเพื่อนอีกคนที่เค้าออกตัวไปก่อน และวิ่งเร็วกว่าเราเยอะ เค้าบอกว่า เค้าได้วิ่งบนถนนตลอดนะ แต่เท่าที่อ่านจากความเห็นคนอื่น คนที่วิ่งช้าๆ เจอเหมือนเราหมดค่ะ คือ ต้องเบียดรถเอง ข้ามถนนเอง ด้วยช่วงเวลาที่วิ่งก็เข้าใจค่ะว่า ช่วงหัวค่ำคงปิดถนนได้ไม่นาน แต่น่าจะห่วงความปลอดภัยของนักวิ่งมากกว่านี้นะ
เราไม่ได้ถ่ายรูประหว่างทางเลยค่ะ กลัวว่ามัวแต่ถ่ายจะทิ้งชีวิตไว้แถวนั้นแทน เลยมีไม่กี่รูป T^T จริงๆ แล้วมีช็อตตื่นเต้นเยอะเลย
ปีหน้าเราคงไม่ลงงานนี้แน่ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนเส้นวิ่ง เส้นนี้ฝุ่นเยอะอยู่แล้วทางก็งง และเปลี่ยว รถก็เยอะเป็นปกติ มันไม่ใช่ทางน่าวิ่งเท่าไหร่ นี่ถ้าไม่ฟรี ก็คงไม่มาค่ะ 55 ถือว่าเก็บแต้มละกัน
Happy Running Life ค่ะ