Freezy Trip: Day2 หลงทางท่ามกลางความหนาว

Posted by in Life & Journey

สวัสดีค่ะ แปปๆ เดือนมกราก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก บทความตอนนี้เราเขียนไว้ตั้งแต่กลางมกราแล้วค่ะ แต่ติดที่คอมพัง เลยไม่ได้มาอัพสักที แล้วก็ตามติดด้วยการไปลาวใต้ต่อตอนปลายเดือน เลยไม่ได้อัพตามที่คิดไว้เลย T^T เดือนที่แล้วเราไปเที่ยวเขมร และลาวใต้มาค่ะ มีอะไรสนุกๆ เยอะแยะ ไว้ค่อยทยอยๆ เขียนให้อ่านกันทีหลังค่ะ เรามาว่ากันต่อเรื่องฮาร์บิ้น ดีกว่า

วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่เราถึงจีน แต่เป็นวันแรกที่เราจะได้เที่ยวเมืองฮาร์บิ้นแบบเต็มๆ ค่ะ วันนี้สนุกไม่น้อยกับการงมหาทางค่ะ ตามชื่อหัวข้อเลย มาคิดย้อนกลับไป ก็ยังรู้สึกพลาดค่ะ พี่ไม่เตรียมตัวไปให้ดีกว่านี้ แต่อุปสรรคในการเดินทาง มันก็ทำให้น่าตื่นเต้นดีค่ะ ถ้าอะไรๆ มันจะตรงตามที่คิดไว้ทั้งหมด ก็คงน่าเบื่อเกินไป

 

เริ่มต้นวันที่สอง

ช่วงที่เรามาฮาร์บิ้น เป็นช่วงที่อุณหภูมิขึ้นมาพอดีๆ ช่วงนี้จะตกอยู่ที่ -17 องศา ถึง -25 องศาค่ะ ก่อนหน้านี้ มันจะอยู่ที่เฉลี่ย -30 องศาค่ะ แต่ถึงจะบอกว่า มันขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังหนาวโหดอยู่ดี หลังจากที่เมื่อคืน เราเจอความหนาวโหดระดับที่จินตนาการตอนอยู่ประเทศไทยไม่ออกแล้ว วันนี้เราก็จัดเต็มกับเครื่องแต่งกายค่ะ เราติด Heat pack เสริมเข้าไปในแผ่นรองเท้า แล้วก็เอากางเกงวอร์มมาใส่ทับอีกตัวนึง ส่วนช่วงลำตัวไม่มีปัญหาอะไร แจ็คเก็ตขนเป็ด + เสื้อ Heatech ทำงานดีมากค่ะ เป็นวันที่เราจัดเต็มที่สุดแล้ว

food_court

วันนี้หิมะตกทั้งวัน แต่ไม่หนาวมาก อุณหภูมิประมาณ -17 องศา ทนไหวอยู่ พี่สาวเราเคยบอกว่า ถ้าหิมะตก อากาศจะไม่หนาว แต่หลังตกแล้ว จะหนาวมาก เรากับอ๊าฟ ตื่นสาย เพราะเมื่อวานเราเหนื่อยกันมากๆ รีบแต่งตัว ลงมากินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทข้างโรงแรม ที่นี่ขายอาหาร ราคา 6-12 หยวน แต่ขนาดจานระดับ 2-3 คนกินได้เลยค่ะ มื้อแรกเราสั่งก๋วยเตี๋ยวอะไรสักอย่าง ใส่หม่าล่าเยอะมาก จนลิ้นชาเลย (หม่าล่า เป็นทำนองเครื่องสมุนไพร เค้าใส่ในก๋วยเตี๋ยวค่ะ มันจะร้อนๆ เฝื่อนๆ) เรากินไปได้นิดเดียวก็ทนไม่ค่อยไหว เลยกินแค่พอให้ไม่หิว สภาพอาหารตอนเหลือไว้ มันยังเต็มชามอยู่เลย นี่ขนาดแบ่งกันกินกับอ๊าฟแล้วก็เหอะ

 

Saint Sofia Church

เราออกมาช้ากว่าคนอื่น เค้าเลยล่วงหน้ากันไปก่อนแล้วกลุ่มนึง ตอนนี้กลุ่มเราเหลืออยู่ 4 คน คือ เรา อ๊าฟ พี่เบิร์ด และ พี่เอ เราก็เดินตามเค้าไปที่ Saint Sofia Church ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มียอดโดมสไตล์เดียวกับ จตุรัสแดงของรัสเซียค่ะ ถ้าบอกง่ายๆ ก็เหมือนเกาลัด มีสีเขียวทึมๆ มีนกพิราบขาวบินวนไปเรื่อยๆ รอบๆ โบสถ์ บริเวณรอบๆ เป็นลานกว้างให้คนเดินเล่น แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกัน ถึงอากาศจะหนาวขนาดไหน ที่นี่ก็คนเยอะค่ะ เมืองนี้ขายอากาศหนาวจริงๆ เราถ่ายรูปกันเมามันสักพัก ก็ยังไม่เจอกลุ่มที่เดินนำมาก่อนเลย เราเลยตัดสินใจ เข้าไปในโบสถ์กัน เผื่อจะเจอใครบ้าง

StSofia

ค่าเข้าโบสถ์ที่นี่เค้าคิด 20 หยวน แต่เราไปทำบัตรนักเรียนปลอมมา เลยลดราคาได้ 50% เหลือแค่ 10 หยวน ข้างในโบสถ์ Sain Sofia เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ไม่มีอะไร ภายในเค้าไม่ได้บูรณะอะไรด้วย สภาพไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เรียกง่ายๆ ว่า เข้ามาไม่คุ้ม แถมยังไม่เจอเพื่อนร่วมทริปอีก กล้อง DSLR ที่เราใช้ถ่ายรูปด้านนอก ก็ดันมาขึ้นฝ้าอีก  เลยต้องใช้มือถือมาถ่ายรูปแทน ซึ่งหนาวมือมากกก เราอยู่กันไม่นาน ก็ออกค่ะ จะมัวหาเพื่อนก็ไม่ไหว รีบไปที่อื่นต่อดีกว่า

 inside_stSofia

 

จุดหมายแรก แม่น้ำซงหัว

ตอนนี้เราหลงกลุ่มกันอยู่ 4 คน ด้วยความที่ทุกคนก็กะว่า จะมีคนนำทริป เลยไม่มีใครหาข้อมูลอะไรมาก่อน ยังดีที่เราโดนแม่ไซโค เลยปริ้นแผนที่เอาไว้ แล้วก็อ่านข้อมูลมาบ้าง แต่ไม่ได้ละเอียดอะไร อินเตอร์เน็ตให้หาข้อมูลก็ไม่มี เรารู้แค่ว่า ต้องไปแถวๆ แม่น้ำ เค้ามีกิจกรรมพวกเลื่อนสุนัขบนนั้น แล้วส่วนใหญ่ก็จะข้ามแม่น้ำไป Sun Island กัน ส่วนที่เค้าแกะสลักน้ำแข็งเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนแน่ๆ รู้แต่ว่า แถวแม่น้ำนั่นแหละ ไปถึงคงรู้เอง เราเลยเริ่มต้นกางแผนที่ จุดหมายแรกคือ แม่น้ำซงหัว ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลมาก ทางทิศเหนือ ที่เหลือค่อยว่ากัน

harbin

 

ระหว่างทางเดินไปแม่น้ำ เราเจอสวนสาธารณะ ที่ด้านในก็มีทำเป็นเมืองที่ก่อจากอิฐมวลน้ำแข็งเหมือนกัน แถมเก็บค่าเข้าอีกต่างหาก เรามองลอดเข้าไปในรั้วอย่างเดียวไมไ่ด้เข้าไป เพราะคืนนี้คงได้ไปดูเมืองน้ำแข็งอยู่แล้ว เราเดินไปราว 3-4 บล็อคถนน ก็เจอแม่น้ำ แถวๆ แม่น้ำ มีร้านอาหารต้มๆ แนวสุกี้ด้วย น่ากินมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แวะ เดินดุ่มๆ ไปแม่น้ำอย่างเดียวเลย วิวริมแม่น้ำวันนี้ดูขาวโพลนไปหมด เพราะหิมะก็ตก แม่น้ำก็ขาว ท้องฟ้าก็ขาว อากาศแถวนี้ก็หนาวเป็น 2 เท่า เพราะลมเย็นๆ พัดเข้ามาอีก ตอนนี้เราปิดทุกส่วนของใบหน้าเท่าที่จะปิดได้ เหลือแต่ตาเอาไว้ดูทางอย่างเดียว หลังจากดูวิวจนพอใจ ก็ลงไปเดินบนแม่น้ำกัน เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินบนพื้นน้ำแข็ง ที่ไม่ใช่ลานไอซ์ในห้าง และไม่ลื่นแบบที่คิด ทั้งๆ ที่เราก็ใส่แค่ผ้าใบกันน้ำ คงเพราะอากาศมันหนาว และแห้งมาก ระดับที่หิมะไม่ละลายเป็นน้ำ มันเลยกลายเป็นช่วยให้เราไม่ลื่นบนพื้นน้ำแข็งแทน ตอนนี้เป้าหมายของเราคือ ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ หรือ Sun Island ที่เราก็บอกเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 คนว่า เราก็ไม่รู้ว่าบนเกาะมีอะไรบ้างแน่ๆ รู้แต่ว่า ต้องไปเกาะนั้นแหละ น่าจะมีที่เค้าแกะสลักหิมะกัน เหอๆ

songhuaRiver

 

เดินทางข้ามแม่น้ำ

ถ้าพูดเรื่องเดินทางข้ามแม่น้ำ ในหัวคนเมืองร้อนอย่างเรา ก็มีแต่เรือ กับสะพาน แต่สำหรับที่นี่ เท้าก็ใช้ข้ามแม่น้ำได้เหมือนกัน เพราะแม่น้ำมันแข็ง และแปลงร่างเป็นลานกิจกรรมชั่วคราวไปแล้ว มีพาหนะให้เลือกขี่ เลือกเล่นมากมาย ตั้งแต่ เลื่อนโง่ๆ ที่คล้ายสกี แต่เป็นแบบนั่งเอาไม้ไถเอา เลื่อนสุนัข ที่สามารถเลือกได้ว่า อยากได้ดัลเมเชี่ยน หรือว่าสุนัขพันธุ์รัสเซีย หรือจะขี่ม้า ขับสกู๊ตเตอร์น้ำแข็ง อยากนั่งรถม้าก็มี มีการแบ่งเลนส์เรียบร้อย เดินแล้วไม่ต้องกลัวม้าจะเหยียบ หรือจะมีอะไรมาชนเรา ก็ไม่น่าเชื่อว่า หนาวโหดหินขนาดนี้ มนุษย์ก็ยังสรรหาอะไรมาเล่นกับความหนาว ให้ชีวิตเพลิดเพลินมีความสุขจนลืมความหนาวไปได้

 

crossriver

 

ตอนนี้เป้าหมายเราคือ Sun Island ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเราตั้งใจว่า คงได้เดินข้ามแม่น้ำแน่ๆ เดินดุ่มๆ ไปบนแม่น้ำเรื่อยๆ มีคนไม่น้อยที่เดินข้ามแม่น้ำแบบเรา เดินๆไปก็จะมีคุณลุง คุณป้า เป็นนายหน้าขายตั๋วพวกรถม้า และเครื่องเล่นต่างๆ มาคอยตื้อขายตั๋วตลอด คุณป้าคนนึงมาเสนอขายรถม้าให้เรา ราคาหัวละ 30-40 หยวน พวกเราเดินหนีป้าไปหลายรอบมาก ทุกครั้งที่เดินหนี ราคาก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุดป้าให้ราคาที่ 4 คน 60 หยวน ลดลงมาได้ราว 60% พวกเราเลยตัดสินใจ ขึ้นรถม้าข้ามฟากกัน สบายเลย จริงๆ นั่งรถม้ากันแค่ราวๆ 3-5 นาทีเท่านั้นเอง แต่คิดว่า ได้พัก ไม่ต้องทนเดินหนาว ก็คุ้มค่ะราคานี้

 

เกาะพระอาทิตย์แช่แข็ง

เรามาถึง Sun Island แล้ว แต่ไหงมันหนาวงี้เนี่ย พระอาทิตย์ร้อนๆ หายไปไหน!! (พออยู่เมืองไทย ก็อยากได้หิมะ คนเรา!!) อากาศจุดนี้สำหรับเรา มันหนาวขึ้นกว่าเดิมอีก คงเพราะลมมันแรงกว่า และเราอยู่ข้างนอกมา ชั่วโมงกว่าได้แล้ว ร่างกายยังไม่ได้รับอะไรอุ่นๆ เข้าไปเลย ตอนนี้เราต้องแก้ปัญหาก่อน ก็คือ การหาจุดหมายถัดไป ให้เดินแบบไร้จุดหมายทั้งๆ ที่อากาศแบบนี้ คงไม่ดี จากตรงนี้ มองไปรอบ มันไม่มีอะไรสะดุดตาพอที่จะให้รู้ว่า มันจะเป็นเป้าหมายถัดไปได้เลย เราเลยเดินตามคนอื่นเค้าไปแทน (เค้าไปไหนกันก็ไม่รู้) ถ้าจำไม่ผิด บนเกาะนี้แหละ ที่มีงานแกะสลักหิมะ แต่มันอยู่ไหนกัน?!!!

 

sunisland

 

Sun Island เป็นเกาะกลางแม่น้ำ ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ค่ะ เรียกได้ว่า เป็นเกาะ ที่เป็นปอดของคนที่นี่เลยทีเดียว แต่พอหน้าหนาว ที่นี่กลายเป็นสวนที่มีแต่หิมะหนาๆ กับลมเย็นๆ ที่พร้อมจะบาดหน้า บาดจมูกตลอดเวลา เราเดินท่ามกลางอากาศหนาวไปได้ราวๆ 15 นาทีได้ แต่ก็ไม่เจออะไร เดินไปถามตำรวจ เค้าชี้ให้ไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเราเห็นรถ กับคนเค้าไปทางทิศเหนือกัน เอ เราเริ่มงง แต่เอาวะ เชื่อตำรวจละกัน

เราเลยเดินไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็พอจะมีคนเดินไปกับพวกเราบ้าง เดินไปเรื่อยๆ จนจะสุดสวน แต่ก็ไม่เจออะไร อ๊าาาาาาา เราเดินหลงในนี้กันราวครึ่งชั่วโมงกว่าๆ อากาศหนาวมากๆ เท้าแทบฟรีสเป็นน้ำแข็งแล้ว แต่จุดนี้ทนไม่ไหวก็ต้องทน จนเราเดินสุดรั่วฝั่งหนึ่ง ซึ่งประตูปิดไม่ให้ออก ฝั่งตรงข้ามรั่วเป็น รูปแกะสลักหิมะ โอ้ววววว ความหวังเริ่มมา พลังเริ่มเกิด ต้องหาทางเข้าให้เจอให้ได้ พวกเราเลยเดินเรียบรั้วไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะย้อนกลับไปทางทิศที่เดินมา (แต่คนละเส้นทางกัน) ในที่สุดก็เจอตู้ขายตั๋ว สรุปว่า ตำรวจชี้ทางผิด ถ้าเดินตามคนไปแต่แรก ก็เจอตู้ขายตั๋วแล้ว T^T

 

เทศกาลแกะสลักน้ำแข็ง

 

SnowSculptureExpo

 

เราซื้อตั๋วค่าเข้ากัน OH MY GOD!!! ค่าเข้าราคา 240 หยวน เฮ้ย!! นี่มัน 1200 บาทเลยนะ แพงอะไรขนาดนี้ ใช้บัตรนักเรียนลดราคาไม่ได้ด้วย แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ต้องเข้า กลับตัวไม่ทันแล้ว ยังดีที่เอาเงินมาพอ มาว่าเรื่องเทศกาลนี้กันเล็กน้อย เมืองฮาร์บิ้นเป็นเมืองที่มีการจัดประกวดการแกะสลักน้ำแข็งทุกๆ ปี ในช่วงหน้าหนาว โดยเค้าจะเริ่มแกะกันช่วงปลายปี และประกวดในวันปีใหม่ แต่ละชาติก็จะส่งตัวแทนมาแกะน้ำแข็งกัน ในวันที่เราไป (29 ธ.ค.) ส่วนใหญ่ก็จะแกะกันเสร็จแล้ว เหลือแค่ไม่กี่ชิ้นที่ยังมีคนแกะกันอยู่ จริงๆ แล้วช่วงหลังปีใหม่จะเป็นช่วงพีคกว่าช่วงนี้ค่ะ แต่เราก็ไม่เสียดายนะที่มาตอนนี้

พวกเราเดินเข้าไปในสวน ก็เจอร้านกาแฟ ในบ้านหิมะ ที่ดูคล้ายบ้านที่สร้างด้วยท่อนซุงสีขาว เรารีบเข้าไปพัก เพื่อให้ตัวเองอุ่นทันที ในร้านขายแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับเครื่องดื่มร้อนๆ ที่นี่เหมือนสวรรค์จริงๆ พักฟื้นกอบโกยความอบอุ่นกันเรียบร้อย ก็ออกตะลุยความหนาวอีกรอบ เราเดินเข้าไปดูรูปแกะสลักน้ำแข็งกันเรื่อยๆ บางอันก็หยาบ บางอันก็ละเอียด จนถึงทะเลสาปน้ำแข็ง บนนี้ก็มีกิจกรรมสไลเดอร์ยักษ์อีกเช่นกัน ตอนนี้เริ่มจะมืดลงเรื่อยๆแล้ว ทั้งๆ ที่แค่ประมาณ บ่าย 3 เอง เราพยามยามถ่ายรูป เท่าที่มือ จะอำนวย เพราะหนาวมาก ถุงมือที่มีก็กันไม่อยู่ ถ่ายก็ยาก เพราะท้องฟ้ามันขาวไม่ต่างกับพื้นหิมะ สุดท้าย ด้วยความที่ทุกคนก็ทนหนาวจะไม่ไหวแล้ว พวกเราก็รีบๆ เดินดูให้ทั่วๆ จนเจอทางออกอีกฝั่ง ที่น่าจะเป็นทางเข้าที่คนอื่นเค้าเข้ากัน ทางนี้มีลานจอดรถ มีรถบัส รถตู้จอดกันตรึม

SnowSculptureExpo2

 

หาทางกลับที่พัก

เรามาถึงทางออกตอน 4 โมง ซึ่งก็มืดประมาณ 6 โมงครึ่ง บ้านเราแล้ว เราพยายามหาแท็กซี่จะกลับโรงแรม แต่ไม่มี Taxi คันไหนไปถนนที่เราพักอยู่เลย เอาไงล่ะดี แค่จะหาแท็กซี่ว่าง ก็ยากแล้ว เจอแล้วก็ไม่ยอมไปอีก สุดท้าย เราไปขอให้ตำรวจช่วย ตำรวจเลยพาไปเจอผู้หญิงจีน จากเซี่ยงไฮ้คนหนึ่ง เค้าพักอยู่ใกล้ๆ กับพวกเรา เราเลยได้เค้า ช่วยคุยให้ และหาแท็กซี่ด้วยกัน แต่พวกเราก็หารถไม่ได้สักที ไม่ว่า จะแท็กซี่ หรือรถบัส ตำรวจบอกให้พวกเราเดินไปตามถนนอีกราวๆ 40 นาที จะเจอถนนใหญ่ ที่แท็กซี่จะเยอะกว่านี้ (ห๊ะ!! 40 นาทีเชียว) ณ จุดนั้น ถึงจะตกใจ และนึกไม่ออกว่า เราจะเดินได้ถึงจริงๆ มั้ย เพราะเราหนาวมาก แทบทนไม่ได้แล้ว ยิ่งมืด ก็ยิ่งหนาว แต่ยังไงก็ต้องเดิน ดีกว่ายืนอยู่เฉยๆ

ตอนนั้นไม่มีใครอื่นเดินร่วมทางกับเราเลย มีพวกเราแค่ 5 คน เดินบนทางสลัวๆ เดินไปไม่นาน ก็มีแท็กซี่บีบแตรเรียก เรารีบโบกไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว ผู้หญิงจีนช่วยไปคุย และต่อราคาให้ เรียบร้อย แท็กซี่รับไปส่งพวกเรา โอ้ว สวรรค์ รอดตายแล้ว แท็กซี่คิดคนละ 20 หยวน เอาเหอะ ตอนนี้ราคาเท่าไหร่ก็ไป สาวชาวจีนชี้แจงให้ฟังว่า เค้าจะไปส่งเราอีกถนนนึง เพราะถนนหน้าโรงแรมเรา เค้าเข้าไม่ได้ เลยไม่มีใครรับเรา (อ้าว เฮ้ย มิน่าล่ะ) เราเลยให้เค้าชี้จุดที่แท็กซี่จะไปส่งให้ จากนั้นเราก็เดินกลับที่พักกันต่อ ซึ่งก็ไม่ได้ไกลมาก พอๆ กับที่เดินจากโรงแรมมาแม้น้ำเมื่อเช้า เราแยกกับหญิงชาวจีน ที่ช่วยเหลือเราไว้ แล้วเดินกลับโรงแรมกัน ระหว่างทาง ก็แวะ KFC เพื่อพัก และ กอบโกยความอบอุ่น เข้ามาบ้าง ก่อนที่เท้าที่เย็นแทบเป็นน้ำแข็ง มันจะตายไปซะก่อน

(ปล. จุดนี้ไม่มีรูปเลย เพราะหนาวมาก จนทั้งมือ ทั้งกล้องเรา ก็เริ่มจะไป(หวัน) กันทั้งคู่เลยค่ะ )

 

ออกตะลุยเมืองน้ำแข็ง

เรากลับที่พัก ก็เจอกับเพื่อนร่วมทริปที่คลาดกันเมื่อเช้า สรุปว่า อีกกลุ่มเค้าเล่นกันอยู่แถวแม่น้ำ ไม่ได้เข้าไปตรงที่แกะหิมะ แบบพวกเรา เค้าว่าค่อยไปกันพรุ่งนี้แทน พวกเราแวะพักในโรงแรมให้ตัวอุ่น แล้วก็กินข้าวเย็นกันเรียบร้อย เดี๋ยวเราจะออกไปเข้าเมืองน้ำแข็ง (Ice World) กันต่อ

เมืองน้ำแข็งก็อยู่ใกล้ๆ กับเทศกาลแกะหิมะน่ะแหละ ที่นี่เค้าก่อปราสาท จากน้ำแข็งเป็นก้อนๆ เราเลยเรียกว่า สิ่งก่อสร้างจากอิฐมวลน้ำแข็ง ซึ่งอากาศก็หนาวมากระดับที่ว่า ก้อนน้ำแข็ง เหมือนก้อนเรซิ่นเลยทีเดียว ค่าเข้าเมืองน้ำแข็งตอนกลางวัน กับกลางคืนจะราคาต่างกันเล็กน้อย แต่ตอนกลางคืน จะมีประดับไฟ ที่ดูมีสีสันกว่าสีน้ำแข็งธรรมดาๆ มันเลยแพงกว่ากลางวัน แต่เราไม่สามารถซื้อตั๋วกลางวัน แล้วอยู่ยาวถึงกลางคืนได้ ที่นี่ใช้บัตรนักเรียนลดราคาค่าเข้าได้ เหลือ 160 หยวน จาก 300 หยวน ประหยัดได้เยอะเลยทีเดียว แต่ที่นี่เค้าค่อนข้างตรวจบัตรเคี่ยวมาก ดูแล้วดูอีก ลูบๆ คลำๆ กว่าจะบอกว่า โอเค ตอนซื้อก็ตรวจ ตอนเข้าก็ตรวจบัตรอีกรอบ แถมมีแถวตั๋วนักเรียนแยกด้วย เขียนเป็นจีนอีกต่างหาก เข้าผิดอาจซวยได้

iceNsnow_World

ข้างในเมืองน้ำแข็งสวยงามมาก เค้าก่อนอิฐมวลน้ำแข็งจำลองสถานที่ต่างๆ เป็นปราสาทบ้าง วัดบ้าง เยอะแยะมากมาย บางจุดทำเป็นสไลเดอร์น้ำแข็ง สนุกดี แต่ที่นี่หนาวมากๆ นอกจากจะเป็นกลางคืนแล้ว รอบตัวยังรายล้อมด้วยน้ำแข็ง ตอนนี้อุณหภูมิไม่มากกว่า -25 องศา มือ เท้า แทบทนไม่ได้ กล้องเองก็เริ่มออกอาการชัตเตอร์ช้า ถ่ายช็อตนึง รอกันนาที สองนาที ยิ่งหลังๆ 5 นาที ยังถ่ายต่อไม่ได้เลย แต่ที่นี่มีร้านกาแฟอุ่นๆ ให้พักอยู่หลายร้าน มี KFC ด้วย เหมาะกับใครที่ไม่ได้กินอาหารก่อนมา

เราอยู่กันจนงานเค้าปิด ตอน 4 ทุ่ม แต่กว่าจะออกมาจริงๆ ก็ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว ขากลับหาแท็กซี่ไม่ยากนัก เพราะมีแท็กซี่ว่างต่อแถวกันตรึมเลย (ทำไมเมื่อเย็นหาแบบนี้ไม่ได้น๊าาา) คืนนั้นเราก็นอนหลับอย่างอบอุ่น ในโรงแรม วันพรุ่งนี้เราตั้งใจว่า จะไปเดินถนนคนเดิน ที่เป็นย่านช็อปปิ้งของฮาร์บิ้นกัน

__________________________________________________________________

เล่าไปเล่ามา ไอ้ปุ้มเขียนเรียงความอีกแล้ว จะยาวไปไหนกัน แหะๆ